Chapter 16 - Psychopath
เสียงเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบภายในโรงพยาบาลตำรวจยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง โถงชั้นล่างที่จัดไว้สำหรับการตรวจประเมินสุขภาพจิตเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบเต็มยศ บ้างก็ยืนรอ บ้างก็เดินไปเดินมาอย่างรีบร้อน และอีกจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่เงียบๆตามเก้าอี้ยาวเรียงแถวริมผนัง
ในมือของแต่ละคนล้วนถือแผ่นกระดาษที่มีสีสันโดดเด่นตรงกลาง เป็นแบบประเมินสภาพจิตที่เพิ่งผ่านการประมวลผลเมื่อครู่ก่อน สีเขียวคือปกติ สีเหลืองหมายถึงเริ่มเครียด สีส้มแปลว่าเครียดสะสม และสีแดงคืออยู่ในภาวะวิกฤต
ในหมู่เสียงสนทนาเบาๆกับกลิ่นอายของความตึงเครียดที่ลอยฟุ้งกลางอากาศนั้น ปรินนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ริมผนัง ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร เขายกแผ่นประเมินขึ้นดูอีกครั้ง พลางเลื่อนสายตาไปหยุดที่วงกลมสีเขียวตรงกลาง นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเขา
ภคิน ผู้ประกาศข่าวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ภคินถือแผ่นผลการประเมินไว้ในมือเช่นกัน ท่าทางไม่ตื่นเต้นไม่ตกใจแต่สีหน้ากลับเคร่งขรึม ดวงตานิ่งขรึมมองตัวเลขและตัวหนังสือบนกระดาษนิ่งๆราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ ปรินเห็นว่าแผ่นของภคินขึ้นวงสีเหลือง
"ภคินเครียดเหรอ?" ปรินเอ่ยถามเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ไม่จุ้นจ้าน
ภคินขยับสายตาขึ้นมาสบตาเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ริมฝีปากขยับตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่ฟังดูมีน้ำหนักมากพอให้คนฟังเข้าใจ "อืม"
"เพราะคดีนั่นใช่ไหม..." ปรินไม่ได้ต้องการคำตอบ เขาแค่พูดออกมาตามความรู้สึก และภคินก็ไม่ได้ตอบ แต่เพียงยกกระดาษในมือขึ้นเล็กน้อยให้ดูอย่างขอผ่าน ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดให้เบาลงได้ด้วยคำไม่กี่คำ
ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะยืดยาวกว่านี้ เสียงฝีเท้าดังฉับไวก็เข้ามาแทรกกลางบรรยากาศที่คล้ายกับจะสงบลงได้เสียหน่อย หนุ่มในเครื่องแบบตำรวจอายุไล่เลี่ยกับปรินเดินตรงมาทางพวกเขา ใบหน้ายิ้มง่าย ขี้เล่น และท่าทางคุ้นเคยเกินกว่าจะเป็นแค่คนรู้จักในหน้าที่
"พี่คิน เป็นไง สีอะไร?" เบนทักทายด้วยรอยยิ้มกว้างพลางนั่งลงข้างๆ อย่างไม่รีรอ
ภคินปรายตามองแล้วตอบสั้นๆ ด้วยเสียงเรียบเหมือนเดิม "เหลือง"
"กูสีเขียว 55555" อีกฝ่ายหัวเราะร่าอย่างไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่เริ่มหันมามอง เบนวางแผ่นประเมินลงบนตักแล้วเท้าศอกกับหัวเข่า เอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย "แม่ง ถ้าไม่เหลืองนี่แหละแปลกละ สภาพช่วงนี้"
ภคินเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน "ไปละ ผบ.เรียกไว้"
"โอเค ไว้เจอกันที่บ้าน" เบนตอบกลับพร้อมมองร่างชายสูงที่เดินไกลออกไป เมื่อบทสนทนาระหว่างพี่น้องจบลง ปรินก็ลุกขึ้นตามโดยอัตโนมัติ ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดดีนัก แต่ก็เดินเคียงข้างภคินไปอย่างไม่ลังเล เขาเหลือบมองแผ่นประเมินสีเขียวของตัวเองอย่างลอบโล่งใจเล็กน้อย
อย่างน้อยก็ไม่ต้องรับมือกับอะไรในใจตัวเองมากนักในตอนนี้
เสียงส้นรองเท้าหนังของภคินกระทบกับพื้นหินขัดเรียบกริบของโถงสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นจังหวะหนักแน่นและมั่นคง
ข้างกายเขา ปรินเดินอย่างเงียบๆด้วยกิริยาสุภาพ ใบหน้าเรียบนิ่งแฝงความสงสัยเล็กน้อยในดวงตา ตั้งแต่เมื่อวานค่ำที่ภคินบอกว่า อยากให้เขามาพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วยกันโดยไม่พูดอ้อมค้อมหรือให้รายละเอียดอะไรมาก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร แม้ภคินจะบอกเพียงว่า "ไม่มีอะไร ผบ. บอกว่าอยากรู้จักปริน"
บรรยากาศในอาคารหลักเงียบเกินคาด เสียงคุยเบาๆลอยแว่วจากห้องอื่นๆ เหล่าเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินผ่านไปมาอย่างมีระเบียบและกดดันในแบบที่ไม่ต้องมีใครสั่งการ ทุกคนดูมีหน้าที่ชัดเจน มีเส้นทางที่ต้องไป และไม่มีใครหยุดยืนอยู่กับที่นานเกินจำเป็น
ประตูไม้บานสูงด้านในสุดเป็นที่หมายของพวกเขา ภคินเดินไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล ขณะที่ปรินเหลือบมองแผ่นทองเหลืองหน้าประตูซึ่งระบุชื่อและตำแหน่งว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดวงตาเขาวาวขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่คุ้นชินก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว
ภคินยกมือเคาะประตูเบาๆสองครั้ง ก่อนที่เสียงทุ้มนิ่งจากด้านในจะดังขึ้นตอบรับ "เข้ามาได้เลย" แล้วบานประตูก็ถูกผลักเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นห้องทำงานส่วนตัวของข้าราชการชั้นสูงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของไม้และหนัง โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านใน ด้านหลังเป็นชั้นหนังสือและภาพถ่ายติดกรอบเรียงราย บรรยากาศทั้งห้องเงียบสงบและอบอวลไปด้วยแรงกดดันที่ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้สึกได้
ชายสูงวัยในเครื่องแบบเต็มยศนั่งอยู่หลังโต๊ะ ใบหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของประสบการณ์และความเงียบงันแบบที่สั่งให้ใครก็ตามหุบปากได้ด้วยเพียงการสบตา
แต่ในวินาทีนั้น สิ่งที่ผบ.ตร.ทำกลับไม่ใช่การมองมาที่คนที่เพิ่งเคยพบ เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แล้วมองตรงไปที่ภคิน
ดวงตาคมเฉียบของผู้บัญชาการนิ่งสนิทขณะสบเข้ากับแววตาเยือกเย็นของชายหนุ่มตรงหน้า ไม่มีคำทักทาย ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงแม้แต่คำเดียวในวินาทีแรกที่สายตาทั้งคู่ปะทะกัน มันเป็นสายตาที่เหมือนมีถ้อยคำจำนวนมากซ่อนอยู่ แต่ไม่อาจพูดออกมาตรงนี้
ภคินไม่ได้หลบเลี่ยง เขายืนสงบอยู่ตรงหน้า สบตาผู้บัญชาการด้วยความนิ่งเรียบที่ฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ บางอย่างในแววตาของทั้งคู่บอกว่าพวกเขารู้จักกันมานานเกินกว่าที่ใครจะคิด
ปรินชำเลืองตามองบรรยากาศเงียบงันนั้นเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงแรงกดทับบางอย่างในอากาศ เขาไม่ได้เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รับรู้ว่าระหว่างภคินกับผบ.ตร. มีอะไรบางอย่างมากกว่าคำว่าเจ้านายกับผู้ใต้บังคับบัญชาแน่นอน และมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรถามในเวลานี้
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ผบ.ตร.ก็ขยับตัวเล็กน้อย แล้วหันมาหาปรินโดยเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งสงบ สุภาพ และมีมารยาท "คุณปรินใช่ไหมครับ" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแต่หนักแน่น เป็นน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่เคยคุมคนทั้งประเทศ แต่ในคราวนี้เต็มไปด้วยความตั้งใจจริง ไม่ใช่คำถามเชิงพิธี
ปรินพยักหน้ารับเบาๆ "ครับผม"
"ผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยินดีที่ได้พบคุณครับ" เขากล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ทั้งที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยสำหรับคนระดับเขา แต่ปรินรับไหว้ด้วยความเคารพเต็มที่ ทั้งจากยศศักดิ์ของผู้พูด และจากบรรยากาศแปลกประหลาดที่ยังลอยวนอยู่ในห้องนี้
แม้จะไม่มีใครพูดถึงเหตุผลที่แท้จริงของการพบปะในวันนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่เห็น สิ่งที่รู้สึก และสายตาที่แลกเปลี่ยนกันก่อนหน้านี้ มันมากพอให้ปรินรู้ว่ามีเรื่องบางเรื่องที่เขายังไม่ควรถาม และถ้าถึงเวลานั้น ภคินจะเป็นคนพูดมันเอง
ผบ.ตร.ผายมือไปยังโซฟาหนังสีดำด้านหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง ทว่าทุกการเคลื่อนไหวยังเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันและอำนาจในตัวมันเอง
ภคินพยักหน้ารับเบาๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างสุขุมเช่นเคย ข้างเขา ปรินก็นั่งลงเช่นกันโดยไม่พูดอะไร ความสงบภายในห้องนั้นหนักแน่นจนน่าอึดอัด หากแต่ในความเงียบนั้น กลับมีบางอย่างเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทั้งในแววตา ภาษากาย และความคิดของคนทั้งสาม
ผบ.ตร.ไม่ได้พูดทันที เขามองหน้าปรินครู่หนึ่ง ดวงตานิ่งขรึมคู่นั้นพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเงียบเชียบ แล้วอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ชัดเจนว่า "ผมอ่านรายงานของคุณภคินเกี่ยวกับกรณีล่าสุด... แล้วก็รายงานภาคสนามที่มีชื่อคุณปรินปรากฏอยู่บ่อยๆด้วย" เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย "ต้องยอมรับว่า... แม้คุณจะเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยนักข่าวธรรมดา แต่กลับหาเบาะแสได้แม่นยำไม่ใช่เล่น"
ปรินยิ้มเจื่อนๆเล็กน้อย "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่เดาๆเอาตามสัญชาตญาณ แล้วมันก็บังเอิญเป็นอย่างที่ผมเดาเฉยๆ"
"แค่เดา?" ผู้บัญชาการเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อเต็มร้อย ดวงตาที่มองตรงมาเต็มไปด้วยความหมายที่อ่านยากแต่รับรู้ได้ว่า เขาไม่ได้มองคนตรงหน้าว่าเป็น 'แค่' อะไรอีกแล้ว
จากนั้นชายสูงวัยก็เลื่อนสายตามามองภคินช้าๆ ดวงตาคมของเขาไม่ได้เปลี่ยนโทนเสียงเมื่อพูดต่อ แต่กลับแฝงแววบางอย่างที่แทบสัมผัสได้ว่าเป็นการเย้ยหยันอย่างเงียบงัน "ทั้งที่คุณภคินอยู่ในสนามมานานกว่า แต่กลับปล่อยให้เบาะแสสำคัญหลุดรอดสายตาไปเฉยๆ" ประโยคสุดท้ายเหมือนจะพูดลอยๆ เหมือนไม่ได้เจาะจง แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นเกินจะเป็นแค่การหยอก
ภคินขยับศีรษะขึ้นเล็กน้อย ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำจ้องกลับไปที่ผบ.ตร.อย่างไม่ลดละ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำโต้แย้ง ไม่มีการแสดงออกว่าโกรธหรือไม่พอใจ แต่ทุกอย่างในแววตาของเขากำลังส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ
การสบตาระหว่างผู้ประกาศข่าวกับผู้บัญชาการเหมือนการดวลเงียบๆกลางอากาศที่ตึงเครียด ไม่มีใครยอมหลบ ไม่มีใครยอมแพ้ และต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าพวกเขากำลังเล่นเกมที่ไม่พูดออกมา
ผบ.ตร.หันกลับมามองปรินอีกครั้ง "ผมขอชมคุณต่อหน้าคุณภคินตรงนี้เลยนะครับว่า คุณมีแวว มีเซนส์ที่เฉียบคม และบางอย่างในตัวคุณน่าสนใจมาก" เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ ช้าพอให้ถ้อยคำนั้นตกกระทบพื้นใจของอีกคนอย่างจงใจ
ปรินยิ้มเก้อๆเล็กน้อย รู้สึกเกรงใจภคินอยู่ลึกๆโดยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ส่วนภคินยังคงนั่งนิ่ง กรอบแว่นสะท้อนแสงไฟจากเพดานเล็กน้อย แต่ไม่พอที่จะบดบังสายตาแข็งกร้าวที่เขาส่งกลับไปให้ผู้บัญชาการ ดวงตาของเขานิ่ง แต่แน่น ไม่ยอมอ่อนให้แม้แต่วินาทีเดียว
ผบ.ตร.นั่งพิงพนักพิงช้าๆ มือข้างหนึ่งประสานกับอีกข้างวางไว้บนหน้าตัก เขามองหน้าทั้งสองอย่างเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะสังเกตอะไรบางอย่างที่สะดุดใจโดยไม่ตั้งใจ
เค้าโครงหน้าของชายสองคนตรงหน้าเขานั้นแตกต่างกันชัดเจน
ภคิน หล่อในแบบผู้ชายหน้าคม ตาเรียว แววตาเฉียบคมจนดูราวกับมีดคมกริบเก็บไว้ในลูกตา ขณะที่ปริน หน้าตาหวานกว่า ตากลมโต ใบหน้าอ่อนโยนกว่า แต่สิ่งที่เหมือนกันคือแววตา
แววตาของทั้งคู่คล้ายกันอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ในแง่ของลักษณะทางกายภาพ แต่เป็นแววบางอย่างในส่วนลึก แววที่บอกว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างในที่ไม่เปิดเผย มีความคิดที่ซับซ้อนเกินกว่าจะปล่อยให้คนภายนอกอ่านออกได้ง่ายๆ และที่สำคัญ... มันเป็นแววตาแบบเดียวกับที่ผบ.ตร.เคยเห็นมาแล้วหลายครั้งในชีวิตการทำงาน แววตาที่สะท้อนจิตใจแบบเดียวกับพวกที่มีจิตใจด้านหนึ่งมืดมิด ลึกเกินควบคุม
คือพวก Psychopath
แน่นอน ผบ.ตร.ไม่ได้พูดมันออกมา เขาไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้กับใคร และเขาเองก็รู้ดีว่าบางคนที่มีแววตาแบบนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอาชญากรเสมอไป บางคนก็เป็นอัจฉริยะ บางคนก็เป็นผู้นำ บางคนก็เป็นอาวุธในคราบมนุษย์
ผบ.ตร.นิ่งอยู่อีกครู่ มองพวกเขาทั้งสองอย่างที่นักจิตวิทยาอาจเรียกว่า 'ประเมิน' แต่ภายใต้เครื่องแบบ ผู้บัญชาการแห่งชาติเลือกเพียงจะพูดว่า "ผมเชื่อว่าเราน่าจะได้ร่วมงานกันอีกหลายครั้งในอนาคตนะครับ คุณปริน"
หลังจากถ้อยคำสุดท้ายของผู้บัญชาการหลุดออกมา บรรยากาศที่ควรจะผ่อนคลายกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด ความนิ่งนั้นเหมือนมีบางอย่างค้างอยู่กลางอากาศ ระหว่างสายตาสองคู่ที่ยังไม่ยอมลดละ ดวงตาเฉียบคมของพลตำรวจโทภคินภายใต้กรอบแว่นสีดำ และแววตานิ่งสนิทแต่ลึกซึ้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ทั้งคู่มองกันอยู่เงียบๆเหมือนกำลังสนทนาในภาษาที่ปรินฟังไม่ออก ถ้อยคำที่แลกเปลี่ยนกันด้วยสายตาเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยค ไม่ได้มีเสียง แต่มันหนัก มันหน่วง และมันน่ากลัวในแบบที่คนดูอยู่ตรงกลางไม่รู้จะวางตัวอย่างไร
และแล้ว ผู้บัญชาการก็ละสายตาจากภคินช้าๆ ก่อนจะหันมามองปริน ดวงตานิ่งสงบนั้นอ่อนลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาท เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงจากเมื่อครู่ "คุณภคิน... ผมขอคุยเรื่องส่วนตัวกับคุณปรินเป็นการเฉพาะได้ไหมครับ" คำขอนั้นถูกกล่าวอย่างสุภาพ แต่ชัดเจนจนไม่มีใครในห้องนี้คิดจะปฏิเสธ แม้แต่ภคินเอง
ชายหนุ่มขยับสายตาไปมองผบ.ตร.นิ่งๆเพียงชั่วครู่ ไม่มีคำพูด ไม่มีสีหน้าเปลี่ยน แต่ความไม่พอใจเล็กน้อยแทรกอยู่ในเส้นกรามที่เกร็งขึ้นเล็กน้อย
ภคินไม่ถาม ไม่โต้แย้ง ไม่มีแม้แต่คำว่า 'ครับ' หลุดออกมา เขาเพียงแต่ลุกขึ้นยืนช้าๆอย่างสุขุม แล้วหันไปสบตากับผู้บัญชาการเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหมุนตัวเดินไปยังประตูไม้ด้านหลัง
ปรินมองตามอย่างเงียบงัน ความรู้สึกแปลกๆแทรกซึมเข้ามาในใจ ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความไม่ไว้วางใจ แต่เป็นความรู้สึกเหมือนเขาถูกดึงเข้าไปอยู่ในระหว่างคนสองคนที่มีสายสัมพันธ์บางอย่างที่ลึกเกินจะเข้าใจ มันไม่ใช่ความเป็นมิตร แต่มันก็ไม่ใช่ศัตรู มันเป็นเหมือนคนสองคนที่รู้จักกันดีเสียจนสามารถทำร้ายกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด
ภคินเดินออกไปโดยไม่หันกลับมา ปิดประตูเบาๆโดยไม่มีเสียงปึงปังเหมือนคนที่กำลังแสดงอารมณ์อะไร แต่ปรินกลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นดังก้องอยู่ในอก
เขาหันกลับมามองผู้บัญชาการเบื้องหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้รู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก
ผู้บัญชาการยิ้มบางๆให้เขา ไม่ได้พูดอะไรทันที เพียงแต่นั่งเงียบ ใช้เวลาสองสามวินาทีมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่เคย "ไม่ต้องเกร็งครับ ผมไม่ได้จะซักอะไรคุณในเชิงหน้าที่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้"
ปรินยิ้มบางๆอย่างสุภาพ พยายามวางตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะยังคงตั้งคำถามไม่หยุดว่าระหว่างผบ.ตร. กับภคินนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่
เพราะตลอดเวลาที่เขานั่งอยู่ในห้องนี้ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา ความรู้สึกหนึ่งที่ไม่เคยหายไปเลยคือ เขาไม่ได้ถูกเชิญมาที่นี่เพียงเพราะ "อยากรู้จัก" อย่างที่ผู้บัญชาการพูด... แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่
ปรินยังไม่รู้ว่าการคุยครั้งนี้มีเนื้อหาอะไร แต่ก็พยายามยิ้มให้สุภาพตามมารยาท ขณะที่อีกฝ่ายขยับตัวเล็กน้อย โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีเหมือนจะลดความเป็นทางการลง "คุณปริน อายุเท่าไหร่แล้วนะครับ" คำถามดูเป็นการชวนคุยทั่วๆไป ไม่ได้มีน้ำเสียงแฝงนัยอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้ปรินรู้สึกสะดุดคือ... สายตาของผู้บัญชาการที่มองตรงมานั้น มันไม่ได้มองเพียงแค่ใบหน้า ปรินสัมผัสได้ว่าดวงตาคู่นั้นไล่ระดับต่ำลงไปมากกว่าที่ควรจะเป็นนิดหน่อย
แวบเดียวเท่านั้น แต่มันไม่เหมือนแววตามองเพื่อสังเกตพฤติกรรมทั่วไป มันมากกว่า มันลึกกว่า และมันทำให้เขารู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังถูกประเมินบางอย่างในแบบที่ไม่ใช่การสอบสวน
ปรินยิ้มเก้อๆก่อนตอบ "28 ครับ" น้ำเสียงเขานิ่งแต่ในอกกลับเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ผู้บัญชาการยังคงมองเขาอยู่ ไม่หลบตา และไม่ทำอะไรผิดมารยาทอย่างชัดเจน แต่ปรินกลับเริ่มรู้สึกเหมือนอากาศในห้องนี้แน่นขึ้นกว่าเดิม เหมือนทุกความเงียบถูกขึงอยู่ด้วยเส้นบางๆของความผิดปกติที่มองไม่เห็น
"หน้าคุณอ่อนกว่าวัยนะครับ ดูจากประวัติส่วนตัว ผมคิดว่าคุณอายุแค่ 20 ต้นๆเสียอีก" น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่แววตายังคงจ้องลึกลงมาเหมือนต้องการอ่านบางอย่างในตัวเขา ปรินยิ้มเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ตอบอะไร สายตาของเขาหลุบลงชั่ววูบ ก่อนจะกลับมาสบตาอีกฝ่ายอีกครั้ง พยายามบังคับตัวเองให้นิ่งที่สุด ไม่แสดงพิรุธว่าไม่สบายใจ แม้ในใจจะเริ่มตึงขึ้นทุกวินาทีที่อยู่ตรงนี้
"ไม่ต้องเกร็งครับ" ผบ.ตร.เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ใจดี "ผมแค่อยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ เพราะคุณไม่ธรรมดาเลยจริงๆ"
ประโยคหลังทำให้หัวใจปรินกระตุกเล็กน้อย ความไม่สบายใจในอกเหมือนพองขึ้นอีกชั้น เขานั่งนิ่งและยิ้มบางๆ พลางตอบเพียงว่า "ขอบคุณครับ" ในหัวเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังหาทางออกจากสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆ เขาพยายามบอกตัวเองว่าอาจจะคิดมากเกินไป
บางทีแววตานั้นอาจจะไม่ได้มีเจตนาอะไรแฝง บางทีมันอาจเป็นแค่ความรู้สึกของเขาเองที่มองคนอื่นเกินความจริง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามพูดอะไรกับตัวเองมากแค่ไหน ความรู้สึกอึดอัดกลับไม่ยอมจางหายไปเลยแม้แต่น้อย
ปรินไม่ชอบให้ใครมองเขาแบบนั้น ไม่ใช่แค่เพราะความเคารพในสถานะหรือความเป็นทางการ แต่เพราะมันเหมือนกับว่าคนๆนั้นกำลังพยายามสอดส่องและแย่งชิงพื้นที่ที่เขาอยากเก็บไว้เป็นของตัวเอง
ปรินไม่ใช่คนเปิดเผยหรือโปร่งใสให้ใครเห็นทั้งหมด และลึกๆเขาก็เก็บความลับไว้มากกว่าที่ใครจะคาดคิด เช่นเดียวกับภคินที่เขารู้ดีว่าแม้จะเป็นคนที่แข็งแกร่งและดูนิ่งเฉยแต่ก็ไม่ยอมให้ใครก้าวข้ามเส้นความเป็นส่วนตัวของเขาง่ายๆ
ทั้งคู่มีขอบเขตที่ชัดเจนและให้เกียรติกันอย่างเงียบๆไม่มีคำพูดมากมาย แต่สายตาและการกระทำเป็นสิ่งที่บอกแทนคำพูดได้ดี
ปรินคิดในใจว่าคงเป็นเรื่องเดียวกันกับภคิน ที่ไม่ชอบให้ใครล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ไม่ว่าจะด้วยคำพูด การกระทำ หรือแม้กระทั่งสายตา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยให้ใครละเมิดได้ง่ายๆ และแม้เขาจะพยายามบอกตัวเองว่าอาจจะคิดมากไป แต่ก็รู้ดีว่าสัญชาตญาณของเขานั้นไม่เคยพลาดในการรับรู้ถึงอะไรที่ผิดปกติ
ปรินจึงเลือกที่จะรักษาระยะห่าง ปกป้องพื้นที่ที่เป็นตัวเองไว้ แม้จะต้องแสร้งยิ้มและทำตัวสุภาพเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ แต่นั่นก็เป็นเพียงหน้ากากที่เขาสวมใส่เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้
เทียบกับภคินที่นิ่งเฉยและแข็งแรงกว่ามากในทุกสถานการณ์ ปรินรู้ว่าทั้งเขากับภคินเหมือนกันตรงที่ไม่ยอมเสียพื้นที่ส่วนตัวให้ใคร และนั่นคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเริ่มเข้าใจภคินมากขึ้น เหมือนทั้งสองคนต่างสวมเกราะบางๆซ่อนตัวอยู่ข้างใน ที่ไม่มีใครสามารถทะลุผ่านได้ง่ายๆ
ภายใต้แสงไฟนีออนสว่างจ้าของทางเดินด้านนอกห้องทำงานผู้บัญชาการ ภคินยืนสงบนิ่ง สีหน้าของเขาเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าในลึกที่สุดของดวงตาคมนั้นกลับซ่อนความรู้สึกที่ปะทุอย่างไม่อาจบอกใครได้
ความเงียบสงบที่เขาแสดงออกเป็นเหมือนเกราะเหล็กแข็งแรงที่ปกปิดอารมณ์ด้านในที่ร้อนแรงกว่ากองไฟ ความรู้สึกเสียศักดิ์ศรีในฐานะตำรวจมืออาชีพกำลังคืบคลานขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึงถ้อยคำของผู้บัญชาการที่ตะล่อมปรินด้วยคำชื่นชมอย่างเกินจริง
ในขณะที่ตัวเขา พลตำรวจโทภคิน กลับถูกมองเหมือนเป็นเพียงหมูหมา ไม่ได้รับความเคารพเหมือนที่ควรจะเป็น
เขากัดกรามแน่นจนกล้ามเนื้อข้างขากรรไกรกระตุกเล็กน้อย ดวงตาแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม ภายใต้กรอบแว่นสีดำที่สะท้อนแสงไฟ เขาคิดไม่ออกเลยว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นในห้องข้างในนั้นมันดำเนินไปอย่างไร และผู้บัญชาการวางแผนจะทำอะไรกับปรินบ้าง
ความไม่แน่นอนนั้นทำให้หัวใจของผู้ประกาศข่าวหนักอึ้งโดยไม่ต้องเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด เสียงฝีเท้าที่ถอยออกมาจากประตูไม้ทำให้ภคินรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นอีกครั้ง เขาหวังว่าเพียงแค่การนั่งรออยู่ตรงนี้จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับปริน
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร คนตรงนั้นก็เป็นมากกว่าแค่ผู้ช่วยนักข่าวสำหรับเขา และถึงแม้ปรินจะไม่รู้ว่าภคินมียศ แต่ในใจลึกๆ ภคินก็ไม่สามารถปล่อยให้ใครมาเล่นกับคนที่เขาห่วงใยได้ง่ายๆ
ดวงตาที่เหยียดมองไปยังประตูห้องที่ปรินอยู่เบื้องหลังนั้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความโกรธเงียบๆที่รอวันระเบิดออกมาอย่างหนักหน่วง ความอดทนของเขาไม่ใช่ไม่มีขีดจำกัด และตอนนี้มันก็ใกล้จะถึงจุดแตกหักแล้ว
ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก ปรินเดินออกมาด้วยสีหน้าที่แม้จะพยายามทำเป็นปกติแต่ก็ยังแอบซ่อนความเหนื่อยล้าและความอึดอัดบางอย่างไว้ลึกๆ
ภคินซึ่งยืนรออยู่ด้านนอก รีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นภคินในแบบที่ทุกคนรู้จักได้อย่างชำนาญ หันไปส่งยิ้มบางๆ แต่ทันทีที่สบตากับปรินเพียงแวบเดียว ความกังวลก็ผุดขึ้นมาในใจไม่อาจปิดบังได้ เขาอยากถาม อยากรู้ว่าภายในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกไป
ปรินพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงเรียบๆว่า "เรากลับบริษัทไปทำงานกันเถอะ" ภคินไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าอย่างเงียบๆแล้วเดินเคียงข้างออกไปด้วยกัน สีหน้าของทั้งสองคนเงียบขรึมและเต็มไปด้วยความคิดที่ยังไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่นั่งอยู่ในห้องทำงานคนเดียว บรรยากาศรอบตัวเขาเงียบสงัด เพียงแค่แสงไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะที่ส่งแสงสลัวๆลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคิดหนักอึ้ง
เขายกมือขึ้นถูคาง พลางนึกถึงสีหน้าของทั้งภคินและปรินที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ในห้องนั้น ความเชื่อในใจของเขาแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆว่าทั้งสองคนนี้ต่างมี Psychopath ซ่อนอยู่ในตัว
แต่มันไม่ใช่ Psychopath แบบเดียวกัน
เพราะลักษณะและพฤติกรรมของคนแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แม้จะมีบางอย่างที่เหมือนกันอย่างลึกซึ้ง
ผู้บัญชาการยิ้มอย่างรู้ใจแล้วคิดว่า ภคินเป็นพวกหวงของ หวงศักดิ์ศรี แค่ดูจากแววตาที่เขาปะทะกลับมาเมื่อกี้ก็พอจะเดาได้ว่า พลตำรวจโทภคินคงรู้สึกอะไรกับผู้ช่วยนักข่าวอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าผู้ช่วยนักข่าวคนนั้น... มีลักษณะ Psychopath แบบไหน
ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนระหว่างสองคนนั้น ยังคงเป็นปริศนาที่ผบ.ตร.ยังต้องเรียนรู้ต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือ ทั้งคู่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป และมันอาจเป็นกุญแจสำคัญของเกมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น